เมื่อคุณแม่หลังคลอดน้อง น้องก็กินนมมานานจนอย่านมแล้ว แต่น้ำนมยังคงไหลไม่หยุด จนก่อให้เกิดความรำคาญ ถ้าอยากน้ำนมหยุดต้องรู้จัก Parlodel โดยยาตัวนี้ถูกคิดค้นโดยบริษัท Sandoz ซึ่งอยู่ในเครือของบริษัท Norvatis ตัวพาร์ลอเดล คือ ชื่อการค้า แต่ตัวยาสำคัญของยานี้คือ Bromocriptine (โบรโมคลิปทิน) โดยเจ้ายาตัวนี้ในท้องตลาดก็มีหลากหลายยี่ห้อด้วยกัน เช่น Bromergon (ของ Sandoz) หรือ Suplac (ของ Biolab)
แต่คุณแม่มือใหม่ หลายๆคน ถึงกลับตกใจจนไม่กล้าทานยา หลังจากได้อ่านฉลากของยานี้เพราะว่าในฉลากกลับเขียนว่าใช้รักษาโรคพาร์กินสัน (Parkinson) กับ โรคแปลกๆอื่นๆ เช่น เนื่องอกของต่อมพิทูอิทารีเนื่องจากโปรแลคติน (Prolactinomas) หรือ โรคอะโครเมก้าลี่ (Acromegaly) แล้วตกลงเจ้ายาตัวนี้มันรักษาอะไรกันแน่
สารบัญ (กดเลือกอ่านตามหัวข้อได้)
- ทำไมยา Parlodel สามารถหยุดน้ำนมไหลได้ รักษาพาร์กินสัน รวมถึงโรคอื่นๆได้ด้วย
- บทบาทของ Parlodel กับ ฮอร์โมน Prolactin ที่มีผลต่อการหยุดไหลของน้ำนม
- แล้วทำไม Parlodel ถึงสามารถใช้ในการรักษาโรคพาร์กินสัน หรือ โรคอะโครเมกาลี (Acromegaly) ได้ ?
- ขนาดการใช้ยา
- ข้อห้ามใช้
- ข้อควรระวัง
- ผลข้างเคียงจากการใช้ยา
- สรุปข้อมูลเกี่ยวกับยา Parodel
ทำไมยา Parlodel สามารถหยุดน้ำนมไหลได้ รักษาพาร์กินสัน รวมถึงโรคอื่นๆได้ด้วย
Parlodel คือ ยาที่มีกลไกการออกฤทธิ์ โดยไปยับยั้งฮอร์โมนโปรแลคติน (Prolactin inhibitor) และ ไปกระตุ้นการหลั่งของโดปามิน (Dopamine agonist) รวมถึงยับยั้งการหลั่งของ โกรธฮอร์โมน ที่บริเวณต่อมพิทูอิตาริส่วนหน้า (anterior pituitary) ที่อยู่บริเวณสมองส่วนไฮโปทาลามัส งงมั้ยละ แอดก็งง 555 เพราะในยา 1 ตัวมีกลไกการออกฤทธิ์กับร่างกายที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนในร่างกายถึง 3 ตัวเลยทีเดียว
งั้นจบบทความนี้เลยแล้วกัน ใจเย็น มันไม่ได้ยากขนาดนั้น แต่อย่าเพิ่งกังวลไปเดี่ยวแอดจะมาเล่าให้ฟังในบทความต่อๆไป ว่า Bromocriptine ที่เป็นตัวยาสำคัญของยานี้มั้นออกฤทธิ์ยังไงในบทความถัดไป เอาเป็นว่าให้เข้าใจว่ายานี้ไปออกฤทธิ์กับ ฮอร์โมน 3 ตัวนี้ เลยทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาคือสามารถรักษาโรคทั้ง 3 นี้ได้ เดี่ยวจะยิ่งงงกันไปใหญ่
บทบาทของ Parlodel กับ ฮอร์โมน Prolactin ที่มีผลต่อการหยุดไหลของน้ำนม
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าการที่เราน้ำนมไหล ไม่ได้เกิดจากอยู่นี้นมนึกจะไหลก็ไหล โดยธรรมชาติของผู้หญิงแล้วเราจะสังเกตได้ว่าถ้าหากเราอยู่ในสภาวะปกติ หรือแม้แต่กระทั้งตอนตั้งครรภ์ จะไม่เกิดการไหลของน้ำนมออกมาจากเต้า เพราะเราไม่ใช่แม่วัว เย้ย แต่พอเมื่อไหร่ที่เราคลอดลูกเท่านั้นแหละ ผ่านไปแค่ 1-3 วันแล้วแต่คน น้ำนมกับไหลมาไม่หยุดหย่อน นั้นเป็นเพราะการไหลของน้ำนมมันเกี่ยวข้องกับ ฮอร์โมนที่ชื่อว่า โปรแลคติด (Prolactin) จะถูกหลั่งออกมาจำนวนมากหลังคลอดและในระหว่างที่ลูกน้อยของเราดูดนมนั้นเอง


แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นกับคุณแม่หลายๆคนคือ น้ำนมไม่ยอมหยุดไหล แม้ว่าจะหยุดให้นมลูกมาหลายเดือนแล้ว โดยอาจเกิดจากฮอร์โมนโปรแลคตินที่หลั่งออกมามากกว่าปกติจากต่อมพิทูอิตารี เช่น การเกิดเนื้องอกบริเวณต่อมนี้ โดยทำให้ฮอร์โมนโปรแลคตินยังคงหลังออกมาเรื่อยๆ จึงเกิดมีการนำยานี้มาใช้ เพื่อยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนนี้ และทำให้น้ำนมหยุดไหลได้นั้นเอง

แล้วทำไม Parlodel ถึงสามารถใช้ในการรักษาโรคพาร์กินสัน หรือ โรคอะโครเมกาลี (Acromegaly) ได้ ?
จริงๆแล้วยาพาร์ลอเดล ถูกคิดค้นมาเพื่อรักษาโรคพาร์กินสัน และ อะโครเมกาลี ในก่อนหน้าที่จะนำมาใช้กับการหยุดไหลของน้ำนม
- โรคพาร์กินสัน เกิดจากการที่ Dopamine ในเซลล์ประสาทที่น้อยเกินไป และ ทำให้เกิดความไม่สมดุลของ Dopamine และ Actylcholine ในสมอง จุดประสงค์ของการรักษาโรคนี้คือทำยังไงให้สารสื่อประสาท 2 ตัวนี้ทำงานสมดุลกันเหมือนตราชั่งที่ไม่เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง จึงเกิดการผลิตยาที่ไม่ไปเพิ่มการหลั่งของ Dopamine ก็จะเป็นยาที่ไปลดการหลั่งของ Actylcholine ลงเช่น ยา Trihexyphenidyl โดยการออกฤทธิ์ของ Parlodel นั้นคือการไปเพิ่มการหลั่งของโดปามีน โดยศัพท์ทางเภสัชวิทยาเรียกว่า Dopamine agonist ทำให้เพิ่มปริมาณของโดปามีนในผู้ป่วยพาร์กินสัน ให้ขึ้นไปอยู่ในระดับที่สมดุลกับ Actylcholine เพื่อลดอาการสั่น และ เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้ป่วยนั้นเอง


- โรคอะโครเมกาลี นับเป็นโรคที่พบได้น้อยมาก โดยคนที่เป็นโรคนี้มีสัดส่วนการพบอยู่ 1 ใน 2500 คน โดยหลายๆคนก็อาจจะเป็นโรคนี้แบบไม่รู้ตัว เนื่องจากโรคนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ โดยเกิดจากการเพิ่มของ โกรธฮอร์โมน ที่ต่อมใต้สมองส่วนหน้าที่มากเกินไป โดยสามารถเกิดได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก แต่การเกิดในผู้ใหญ่ที่กระดูกต่างๆของร่างกายได้ปิดลงแล้วนั้นทำให้เกิดรูปร่างของอวัยวะต่างๆผิดรูปไป เช่น ใบหน้า ขากรรไกร จมูก นิ้วมือ นิ้วเท้า ที่ผิดรูปไปนั้นเอง โดยยาพาร์ลอเดลนั้นก็ไปออกฤทธิ์โดยไปยับยั้งการหลั่งของโกรธฮอร์โมนที่เกิดขึ้น จึงถูกนำยานี้มาใช้ในการรักษาโรคนี้เช่นกัน
ขนาดการใช้ยา
ปริมาณของการใช้ยานี้ก็ขึ้นอยู่กับวัยและโรคที่ใช้ในการรักษา
ผู้ใหญ่
- พาร์กินสัน จะใช้อยู่ที่ 10-40 มกต่อวัน โดยจะค่อยๆเริ่มต้นการใช้ที่ 1.25 มก (ครึ่งเม็ด) และเพิ่มการใช้ 1.25 หรือ 2.5 ทุกๆสัปดาห์ โดยหากเกิดอาการไม่พึ่งประสงค์ระหว่างการใช้ให้ลดขนาดยาลง และคงระดับยาที่ทำให้ไม่เกิดอาการข้างเคียงไว้ 1 สัปดาห์
- อะโครเมกาลี เริ่มต้นที่ขนาดยาครั้งละ 1.25 มก เช่นกัน ทาน วันละ 2-3 มื้อ แล้วค่อยๆเพิ่มขึ้นไปจนถึงระดับ 10-20 มก ต่อวัน
- โปรแลคตินในเลือดสูง เริ่มต้นที่ขนาดยา 1.25 มก เช่นกัน ทานวันละ 2-3 มื้อ แล้วค่อยๆเพิ่มขึ้นไปจนถึงระดับ 5-10 มก ต่อวัน
เด็กอายุมากกว่า 7 ปี – 17 ปี
- เนื่องอกที่ต่อมใต้สมองที่เกิดจากโปรแลคตินที่มากเกินไป เริ่มต้นที่ขนาดยาครั้งละ 1.25 มก เช่นกัน ทาน วันละ 2-3 มื้อ แล้วค่อยๆเพิ่มขึ้นไปจนถึงระดับ 5 มก.ในเด็กอายุ 7-12 ปี และสามารถเพิ่มได้ถึง 20 มกต่อวัน ในเด็กอายุ ไม่เกิน 17 ปี
- อะโครเมกาลี เริ่มต้นที่ขนาดยาครั้งละ 1.25 มก เช่นกัน ทาน วันละ 2-3 มื้อ แล้วค่อยๆเพิ่มขึ้นไปจนถึงระดับ 10 มก ต่อวัน ในเด็ก อายุน้อยกว่า 12 และมาสุดถึงระดับ 20 มกต่อวัน ในเด็กที่อายุน้อยกว่า 17
Parlodel จัดอยู่ในกลุ่มยาอันตราย ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายยา ขย.1 ที่มีเภสัชกรประจำ เท่านั้น
ข้อห้ามใช้
- ห้ามใช้ยานี้สำหรับผู้ที่เคยมีประวัติแพ้ยาหรือส่วนประกอบต่างๆของยานี้ หรือผู้ที่แพ้ ergot alkaloid อื่นๆ
- ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงที่คุมไม่ได้ รวมถึงหญิงตั้งครรภ์ หรือ หลังคลอดแล้วความดันยังสูงอยู่
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว Coronary artery disease และภาวะต่างๆทางหลอดเลือดหัวใจที่รุนแรง
ข้อควรระวัง
- การใช้ยาควรเริ่มที่ขนาดต่ำและเพิ่มขนาดยาให้พอควบคุมอาการต่างๆได้
- คนที่ขับขึ่ยานพาหนะ หรือ เครื่องจักร เพราะยาอาจทำให้เกิดอาการง่วงได้
- ผู้ที่เกิดเลือดออกหรือเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
- ผู้ที่เป็นโรคผังพืดที่ปอดหรือถุงหุ้มหัวใจ
- คนที่มีกลุ่มอาการที่ควบคุมตนเองต่อสิ่งเร้าไม่ได้ (impulse control disorder)
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา (SIDE EFFECT)
- ปวดศีรษะ ง่วงซึมระหว่างวัน มึนงง (พบบ่อย)
- คัดจมูก (พบบ่อย)
- คลื่นไส้ ท้องผูก อาเจียน (พบบ่อย)
- เคลื่อนไหวลำบาก ชาตามอวัยวะ เห็นภาพเบลอ (พบน้อย)
- ปากแห้ง ท้องเสีย ปวดท้อง (พบน้อย)
- เหนื่อยเพลีย บวมตามร่างกาย (พบน้อย)
สรุปข้อมูลเกี่ยวกับยา Parodel
จากที่เราพูดถึงยาพาลอร์เดลไป จะเห็นได้ว่ายาหนึ่งตัวนั้นสามารถรักษาอาการหรือโรคต่างๆได้มากกว่า 1 อย่าง และสามารถส่งผลกับระบบร่างกายได้มากกว่า 1 ระบบ เช่นยานี้สามารถส่งผลกับระบบสมอง การทำงานของต่อมน้ำนม การทำงานของหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงฮอร์โมนถึง 3 ตัวในร่างกาย เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะใช้ยา หรือ หาซื้อยาใดๆมารับประทานควรสอบถามเภสัชกรหรือแพทย์ ประกอบกับการหาข้อมูล ก่อนที่จะนำยามาใช้ซึ่งอาจเกิดอันตรายแบบที่เกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้นเอง ถ้าบทความนี้มีประโยชน์ก็อย่าลืมกดปุ่มแชร์ไปให้เพื่อนๆกันด้วยหละ แล้วพบกันใหม่กับสาระดีๆเกี่ยวกับยาในบทความถัดๆไป บะบาย
แหล่งที่มาของข้อมูล (Reference)
1.Bromocriptine detail https://en.wikipedia.org/wiki/Bromocriptine
2.Galactoria https://bit.ly/3z3p3sC
3.Acromegaly https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/acromegaly/symptoms-causes/syc-20351222
4.Parodel Data from novatis parodel medicine leaflet